ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เคี้ยวกี่ครั้ง สุขภาพถึงจะดี ??



สุขภาพดีเริ่มง่ายๆ ด้วยการเคี้ยว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เคี้ยวอาหาร

คุณเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่า ใช้เวลาในการเคี้ยวอาหารคำละกี่ครั้ง คนส่วนใหญ่มักทำไปตามนิสัยส่วนตัว แต่รู้หรือไม่ว่าประโยชน์ของการเคี้ยวให้ละเอียดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพมากเพียงใด
ซึ่งเรื่องนี้ “อาจารย์แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการบำบัด และผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ให้ข้อมูลว่า การเคี้ยวอาหาร ให้ละเอียดก่อนกลืนนั้นมีความสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นด่านแรกที่จะทำให้อาหารมีความละเอียดขึ้น ทำให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ช่วยให้สารอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น และยังทำให้มีระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพที่ดี  แต่ถ้าหากเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ กระเพาะของเราจะต้องรับภาระในการย่อยอาหารมากขึ้น ยิ่งอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ กระเพาะจะต้องหลั่งกรด และมีการบีบตัวที่มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดหรือท้องเฟ้อตามมา
          นักโภชนาการบำบัดผู้นี้ บอกอีกว่า การเคี้ยวอาหารให้ถูกต้องนั้นคือ เคี้ยวประมาณ 10 ครั้งสำหรับอาหารที่นิ่ม เช่นข้าว หรือ ขนมปัง ขณะเดียวกันให้เคี้ยวประมาณ 20-30 ครั้งสำหรับเนื้อสัตว์และผัก ซึ่งจำนวนครั้งในการเคี้ยวที่เหมาะสมนั้น อาจทดลองโดยการเคี้ยวก้านผักคะน้า ฝรั่ง หรือแอปเปิ้ล ประมาณ 10 ครั้ง แล้วใช้ลิ้นดุนสำรวจดูว่าละเอียดเพียงพอหรือไม่ ซึ่งถ้ายังรู้สึกไม่ละเอียดก็ให้เพิ่มจำนวนครั้งในการเคี้ยวให้มากขึ้น
และเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี รวมไปถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องในการเคี้ยวอาหาร “อาจารย์แววตา” ได้บอกถึงประโยชน์ของการเคี้ยวไว้ ดังนี้
1) ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี
    การเคี้ยวช่วยบดอาหารชิ้นใหญ่ๆให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ย่อยง่ายขึ้น และลำไส้จะดูดซึมสารอาหารจากอาหารที่ผ่านเข้ามาได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเดินทางของอาหารในลำไส้นั้นใช้เวลาพอๆ กันไม่ว่าจะเป็นอาหารละเอียดหรือไม่ละเอียด แต่เมื่ออาหารละเอียดแล้วร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารได้เร็วขึ้น เนื่องจากเวลาการย่อยอาหารนั้นน้อยลง เพราะการเคี้ยวที่ละเอียดช่วยย่อยอาหารไประดับหนึ่งแล้ว ซึ่งอาหารที่ละเอียดกว่าจะถูกดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าอาหารที่ไม่ละเอียด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บดเคี้ยวอาหาร

2) ช่วยควบคุมน้ำหนัก
    การเคี้ยวข้าวแบบไม่ละเอียดมีผลทำให้เราอ้วนขึ้นได้ เพราะเมื่อเราไม่ใส่ใจที่จะเคี้ยวให้ละเอียด ก็จะทำให้เราติดนิสัยการรับประทานเร็ว จนเสี่ยงต่อการรับประทานอาหารที่มากเกินกว่าปริมาณที่ต้องการ ซึ่งปกติแล้วร่างกายเราจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะเริ่มส่งสัญญาณไปที่สมองว่าอิ่มแล้ว ดังนั้นการที่เราใช้เวลานานในการเคี้ยว จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น และส่งผลให้น้ำหนักคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในที่สุด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คุมน้ำหนัก

3) ช่วยย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น
    เมื่ออาหารละเอียดก็จะย่อยได้ง่าย ร่างกายก็ไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เพราะหากร่างกายต้องทำงานหนักกว่าปกติแล้ว ในระยะยาวอาจทำให้ร่างการทรุดโทรมเร็วดูแก่ก่อนวัย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สบายท้อง

 4) ลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูก
    หลังการรับประทานอาหารที่เคี้ยวแบบไม่ละเอียด อาจมีผลให้คุณรู้สึกท้องอืดได้ ทั้งนี้เป็นเพราะการบดเคี้ยวอาหารที่หยาบจนเกินไป ทำให้อวัยวะภายในไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อย่อยอาหารได้ไม่หมดก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาการท้องอืดและท้องเฟ้อขึ้นมาได้ ขอเพียงเราใช้เวลา เคี้ยวอาหารให้นานขึ้น ก็สามารถลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อและท้องผูกได้แล้ว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ท้องผูก

5) ช่วยให้ฟันแข็งแรง
    การเคี้ยวมากขึ้นจะทำให้น้ำลายออกมากขึ้น และไปทำความสะอาดฟัน ลดการสะสมของคราบหินปูน ช่วยให้ฟันผุน้อยลง รวมทั้งยังเป็นการบริหารเหงือกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


อาจารย์แววตา บอกทิ้งท้ายด้วยว่า การเคี้ยวของคนในแต่ละวัย ก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วย โดย “วัยเด็ก” เราต้องสอนให้เขารู้จักการเคี้ยวหลายๆ ครั้งก่อนกลืนจนเป็นนิสัย เพราะถ้าเคี้ยวไม่ละเอียดเด็กๆ มักจะปวดท้องได้ง่าย ส่วน “วัยรุ่น” เราอาจจะจูงใจให้เขาเคี้ยวละเอียดๆ เพราะจะช่วยให้ฟันสวยและยังลดน้ำหนักได้อีกด้วย
ขณะที่ “วัยชรา” เราสามารถปรับปรุงเมนูอาหารให้น่ารับประทาน แต่ยังคงความอ่อนนุ่มและเคี้ยวง่าย โดยอาจจะเพิ่มเติมสีสันจากผักต่างๆ ก็จะช่วยทำให้ผู้สูงอายุทานอาหารได้มากขึ้น
จะเห็นได้ว่าการมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงคุณเริ่มต้นใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการเคี้ยวให้ละเอียด เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีได้แล้ว



อ้างอิง : http://www.thaihealth.or.th/Content/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

4 สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ลดพุง ลดหน้าท้อง

        ทำไมต้องใช้ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ !      ฟังดูเหลือเชื่อแต่มันคือเรื่องจริงว่าเฉพาะพื้นผิวลำไส้เล็ก ก็มีขนาดถึง 250 ตารางเมตร หรือเท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเลยทีเดียว!!!   แต่เมื่ออยู่ในช่องท้องของเราจะมีรูปทรงหดย่นพับไปพับมา และเต็มไปด้วยซอกมากมาย และซอกตามรอยพับนี่แหละค่ะ ที่เป็นแหล่งสะสมของ “ตะกรันลำไส้” ที่เกิดจากการทานอาหารมันๆ ย่อยยาก รวมถึงอุจจาระเก่าที่ตกค้างจากการขับถ่ายไม่เป็นเวลา อาจดูน่าตกใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันสามารถสะสมอยู่ในลำไส้ของเราได้หลายกิโลกรัมเลยทีเดียวนะคะ ลำไส้ที่มีตะกรันสะสมมากๆ เสี่ยงกับอะไรบ้าง         - เป็นสิว ผิวพรรณไม่สดใส - มีกลินตัว - มีกลิ่นปากแบบไม่ทราบสาเหตุ - ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย - ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด - ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา - มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง หรือท้องเสียบ่อย - มีอาการคล้ายกรดไหลย้อน (ซึ่งเกิดจากแก๊สในลำไส้) - เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ทำเองง่ายๆ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 1 น้ำมะนาว+น้ำอุ่น      สูตรนี้ง่ายสุดๆ แต่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ห

8 วิธีกิน "บุฟเฟ่ต์" ยังไงไม่ให้ "อ้วน"

1. เลือกเวลาทานบุฟเฟ่ต์    เวลาที่เราอยากทานบุฟเฟ่ต์ จะเลือกช่วงเวลาประมาณ บ่าย 2 - บ่าย 3 โมงเย็นค่ะ ถ้ารู้ตัวว่าจะมาทานบุฟเฟ่ต์ ก็จะไม่ทานมื้อกลางวัน และจะเริ่มทานบุฟเฟ่ช่วงเวลาประมาณบ่าย 2-3 โมง กว่าจะกินอิ่มก็ 4 โมงเย็นหรือ 5 โมงเย็น จะได้งดมื้อเย็นไปในตัวค่ะ เท่ากับว่ากิน 2 มื้อรวมกันคือมื้อกลางวันกับมื้อเย็น นั่นแปลว่าถ้าเราตัดสินใจจะทานบุฟเฟ่ต์ เราก็ต้องตัดใจไม่ทานอาหารมื้ออื่นๆ แล้วค่ะ 2. อย่ายัด    บุฟเฟ่ต์หลายร้านมักจะมีเวลากำหนด อาจจะ 1.30 ชั่วโมง หรือ 2.00 ชั่วโมง แล้วแต่ร้าน หลายคนกลัวไม่คุ้ม จึงรีบกิน เน้นกินเยอะ ฟาดเรียบทุกอย่าง แถมยังสั่งนู้นนี่นั่นมาเยอะเกินกำลังที่ตัวเองจะกินไหว ผลสุดท้าย ต้องมานั่งยัดอาหารที่เหลือ เพราะถ้ากินไม่หมดก็กลัวจะโดนปรับ - _- อยากบอกว่า ให้ค่อยๆ สั่งค่ะ สั่งทีละนิด แต่สั่งอาหารให้หลากหลาย อันไหนอร่อยค่อยสั่งเพิ่ม ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว อย่ารีบกินเพื่อแข่งกับเวลา เพราะถ้าทำแบบนั้นจะกลายเป็นว่าเรากินทุกอย่างที่ขวางหน้า แบบนี้ความพยายามที่จะลดความอ้วนมา 2 เดือนเต็มนั้นสูญเปล่าแน่ๆ 3. เลือกกินแต่โปรตีนและผัก    บุฟเ