ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

4 สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ลดพุง ลดหน้าท้อง

       

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


ทำไมต้องใช้ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้!
     ฟังดูเหลือเชื่อแต่มันคือเรื่องจริงว่าเฉพาะพื้นผิวลำไส้เล็ก ก็มีขนาดถึง 250 ตารางเมตร หรือเท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเลยทีเดียว!!!  แต่เมื่ออยู่ในช่องท้องของเราจะมีรูปทรงหดย่นพับไปพับมา และเต็มไปด้วยซอกมากมาย และซอกตามรอยพับนี่แหละค่ะ ที่เป็นแหล่งสะสมของ “ตะกรันลำไส้” ที่เกิดจากการทานอาหารมันๆ ย่อยยาก รวมถึงอุจจาระเก่าที่ตกค้างจากการขับถ่ายไม่เป็นเวลา อาจดูน่าตกใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันสามารถสะสมอยู่ในลำไส้ของเราได้หลายกิโลกรัมเลยทีเดียวนะคะ


ลำไส้ที่มีตะกรันสะสมมากๆ เสี่ยงกับอะไรบ้าง     
 -เป็นสิว ผิวพรรณไม่สดใส
-มีกลินตัว
-มีกลิ่นปากแบบไม่ทราบสาเหตุ
-ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย
-ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด
-ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
-มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง หรือท้องเสียบ่อย
-มีอาการคล้ายกรดไหลย้อน (ซึ่งเกิดจากแก๊สในลำไส้)
-เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้

สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ทำเองง่ายๆ

สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 1
น้ำมะนาว+น้ำอุ่น


     สูตรนี้ง่ายสุดๆ แต่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ หากดื่มหลังตื่นนอน (ก่อนอาหารเช้า) ได้ต่อเนื่องกันทุกวัน จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอาทิตย์แรก และหากทำได้ครบ 21 วัน ทั้งสุขภาพภายในและผิวพรรณภายนอกจะดีขึ้น จนคนรอบข้างต้องทักเชียวล่ะค่ะ

ส่วนผสม
มะนาวครึ่งลูก
น้ำเปล่า 2-4 แก้ว 

วิธีทำ
1. ผ่ามะนาวตามแนวนอนครึ่งลูก (อีกครึ่งสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้)
2. บีบน้ำมะนาวใส่น้ำอุ่น คนให้เข้ากัน แล้วดื่มทันที โดยดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอน และดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้า

สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 2
เม็ดแมงลัก+น้ำอุ่น


       เม็ดแมงลักสามารถพองตัวได้หลายเท่าและยังมีกากใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นประสาทรอบๆ ลำไส้ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่าย และยังช่วยดูดซับไขมันไม่ดี (LDL-cholesterol) ให้ขับออกมาพร้อมกับอุจจาระอีกด้วย ได้ประโยชน์สองต่อเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนผสม
เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา
น้ำอุ่น 1 แก้ว

วิธีทำ
1. ล้างเม็ดแมงลักผ่านตะแกรงให้สะอาด
2. แช่เม็ดแมงลักในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาทีให้พองเต็มที่
3. ดื่มก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง (เพื่อไม่ให้ปวดปัสสาวะกลางดึก) ดื่มได้ทุกวัน หรือจะดื่มอาทิตย์ละ 3-4 วันก็ได้ค่ะ

สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 3
น้ำผึ้ง+มะนาว+โยเกิร์ต+นมสด

 

    สำหรับสูตรนี้รสชาติดีทีเดียวค่ะ หากใครยังไม่เคยลองแนะนำให้ทำช่วงวันหยุดหรือมีเวลาก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 40 นาที จะได้สะดวกเข้าห้องน้ำนะคะ โดยดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอน จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เหมาะกับคนที่ท้องผูกบ่อยๆ ค่ะ

ส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
มะนาว ½ ลูก
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
นมสด UHT รสจืด 1 กล่อง (ประมาณ 200 มล.)
*ควรเลือกนมโคแท้ 100% เท่านั้น เพราะมีคุณค่าทางอาหารเต็มที่ค่ะ

วิธีทำ
1. บีบน้ำมะนาวใส่แก้ว ตามด้วยน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา หรือกะประมาณ 1/3 ของช้อนโต๊ะ
2. ใส่โยเกิร์ตลงไปครึ่งถ้วย
3. สำหรับนมสด หากแช่เย็นมาควรนำไปอุ่นให้หายเย็น (แต่ไม่ถึงกับร้อน) แล้วเทลงในแก้วเป็นลำดับสุดท้าย
4. คนให้เข้ากันจนกระทั่งน้ำผึ้งไม่ติดช้อน ก็ดื่มได้ทันที หลังจากนั้นจึงดื่มน้ำอุ่นตามอีกสักครึ่งแก้วค่ะ

สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 4
น้ำดีท็อกซ์ (Detox Water หรือ Infused Water)


   สูตรนี้ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำสุดๆ เพราะกลิ่นรสสดชื่นดื่มง่าย ไม่น่าเบื่อ แถมยังต่อต้านอนุมูลอิสระ บำรุงหลอดเลือด ลดไขมัน เสริมภูมิต้านทาน และช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ให้ถ่ายง่ายอีกด้วยค่ะ

ส่วนผสม
น้ำสะอาด หรือน้ำแร่ 1 ลิตร
เลมอน 1 ลูก
มะนาว ครึ่งลูก
สตรอเบอร์รี่สไลซ์ 5 ผล หรือส้มหั่นแว่น 1 ผล
แตงกวา 3-4 สไลซ์
มิ้นต์ หรือใบสะระแหน่ 1 หยิบมือ
ถ้าไม่ชอบรสขม ให้ปอกเปลือกแตงกวา เลมอน มะนาว และส้มออกก่อน

วิธีทำ
1.นำผักผลไม้ที่เตรียมไว้ใส่ในขวดน้ำ
2.ปิดฝาใส่ตู้เย็น แช่ 2 ชม. ดื่มได้เลย หากน้ำพร่องไปครึ่งหนึ่งสามารถเติมน้ำเข้าไปใหม่ได้ ไม่ต้องกินกาก และไม่ควรแช่เกิน 12 ชม.เพราะผักผลไม้อาจเสีย เกิดเชื้อโรคได้ค่ะ

สูตรล้างผัก
น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 500 ซีซี แช่ผักทิ้งไว้ 10-15 นาที จะช่วยลดสารพิษได้ 50-80 เปอร์เซ็นต์

     แต่ละสูตรใช้วัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากในบ้านเราทั้งนั้นเลย ดังนั้นจึงสามารถทำเวียนกันไปแต่ละสูตรได้ตามความชอบเลยค่ะ  และถ้าหากอยากให้ได้ผลดียิ่งขึ้นล่ะก็ ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายหน้าท้อง เพื่อกระตุ้นลำไส้ให้ขับถ่ายได้ดี ก็จะยิ่งแฮปปี้กับผลลัพธ์แบบคูณสองเลยล่ะค่า



อ้างอิง : http://women.trueid.net/detail/xGWogJJlBwx

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

8 วิธีกิน "บุฟเฟ่ต์" ยังไงไม่ให้ "อ้วน"

1. เลือกเวลาทานบุฟเฟ่ต์    เวลาที่เราอยากทานบุฟเฟ่ต์ จะเลือกช่วงเวลาประมาณ บ่าย 2 - บ่าย 3 โมงเย็นค่ะ ถ้ารู้ตัวว่าจะมาทานบุฟเฟ่ต์ ก็จะไม่ทานมื้อกลางวัน และจะเริ่มทานบุฟเฟ่ช่วงเวลาประมาณบ่าย 2-3 โมง กว่าจะกินอิ่มก็ 4 โมงเย็นหรือ 5 โมงเย็น จะได้งดมื้อเย็นไปในตัวค่ะ เท่ากับว่ากิน 2 มื้อรวมกันคือมื้อกลางวันกับมื้อเย็น นั่นแปลว่าถ้าเราตัดสินใจจะทานบุฟเฟ่ต์ เราก็ต้องตัดใจไม่ทานอาหารมื้ออื่นๆ แล้วค่ะ 2. อย่ายัด    บุฟเฟ่ต์หลายร้านมักจะมีเวลากำหนด อาจจะ 1.30 ชั่วโมง หรือ 2.00 ชั่วโมง แล้วแต่ร้าน หลายคนกลัวไม่คุ้ม จึงรีบกิน เน้นกินเยอะ ฟาดเรียบทุกอย่าง แถมยังสั่งนู้นนี่นั่นมาเยอะเกินกำลังที่ตัวเองจะกินไหว ผลสุดท้าย ต้องมานั่งยัดอาหารที่เหลือ เพราะถ้ากินไม่หมดก็กลัวจะโดนปรับ - _- อยากบอกว่า ให้ค่อยๆ สั่งค่ะ สั่งทีละนิด แต่สั่งอาหารให้หลากหลาย อันไหนอร่อยค่อยสั่งเพิ่ม ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว อย่ารีบกินเพื่อแข่งกับเวลา เพราะถ้าทำแบบนั้นจะกลายเป็นว่าเรากินทุกอย่างที่ขวางหน้า แบบนี้ความพยายามที่จะลดความอ้วนมา 2 เดือนเต็มนั้นสูญเปล่าแน่ๆ 3. เลือกกินแต่โปรตีนและผัก    บุฟเ

เคี้ยวกี่ครั้ง สุขภาพถึงจะดี ??

สุขภาพดีเริ่มง่ายๆ ด้วยการเคี้ยว คุณเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่า ใช้เวลาในการเคี้ยวอาหารคำละกี่ครั้ง   คนส่วนใหญ่มักทำไปตามนิสัยส่วนตัว แต่รู้หรือไม่ว่าประโยชน์ของการเคี้ยวให้ละเอียดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพมากเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้  “ อาจารย์แววตา เอกชาวนา ”   นักโภชนาการบำบัด และผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ให้ข้อมูลว่า   การเคี้ยวอาหาร ให้ละเอียดก่อนกลืนนั้นมีความสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นด่านแรกที่จะทำให้อาหารมีความละเอียดขึ้น ทำให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ช่วยให้สารอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น และยังทำให้มีระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพที่ดี  แต่ถ้าหากเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ กระเพาะของเราจะต้องรับภาระในการย่อยอาหารมากขึ้น ยิ่งอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ กระเพาะจะต้องหลั่งกรด และมีการบีบตัวที่มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดหรือท้องเฟ้อตามมา           นักโภชนาการบำบัดผู้นี้ บอกอีกว่า   การเคี้ยวอาหารให้ถูกต้องนั้นคือ เคี้ยวประมาณ 10 ครั้งสำหรับอาหารที่นิ่ม เช่นข้าว หรือ ขนมปัง ขณะเดี

10 เมนูอาหารเย็น แคลอรี่ต่ำ ไม่เกิน 200 Kcal!!

  การจะหา อาหาร เย็นแคลอรี่ต่ำๆ ทานหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะขากลับบ้าน เดินผ่านตลาด ของกินข้างทาง มีแต่ไก่ทอด แกงกะทิ และอีกหลายเมนูที่อร่อยเข้มข้น แต่อ้วนสุดๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าอาหารอร่อยง่ายสบายท้อง พร้อมแคลอรี่ต่ำสุดๆ มีอะไรน่าทานบ้าง 1. ก๋วยเตี๋ยวหมูสับน้ำใส 200 กรัม 140 Kcal     เลือกน้ำใสๆ หมูสับแบบไม่ติดมัน หรือติดมันให้น้อยที่สุด ประโคมผักเยอะๆ ปรุงรสให้น้อยเข้าไว้ และเส้นให้น้อยกว่าผักครึ่งหนึ่ง หรือจะเกาเหลาก็โอเค ให้เต็มที่ไปเลย 200 กรัม ยังไม่ถึง 150 Kcal เลยคิดดู อย่าลืมบอกพี่คนขายว่าไม่ต้องราดกระเทียมเจียวด้วยนะ 2. แกงส้มผักรวมกับปลา 200 กรัม 100 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 180 Kcal     ใครที่คิดว่าก๋วยเตี๋ยวยังไม่อยู่ท้อง มาที่ข้าวกับแกงส้มได้เลย คุณพระ! แกงส้มผักรวมสุดแซ่บ กับปลาอร่อยๆ รวมกันยังไม่ถึง 200 Kcal รับรองว่าอิ่ม อร่อย รสชาติจัดจ้านแบบไทยแน่นอน แต่ถ้าจะให้ดี ทำแกงส้มด้วยตัวเองไปเลย จะควบคุมปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไปในแกงได้ดีกว่านะ 3. แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่หมูสับ 200 กรัม 110 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 190