ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

10 เมนูอาหารเย็น แคลอรี่ต่ำ ไม่เกิน 200 Kcal!!


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหารแคลต่ำ

  การจะหาอาหารเย็นแคลอรี่ต่ำๆ ทานหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะขากลับบ้าน เดินผ่านตลาด ของกินข้างทาง มีแต่ไก่ทอด แกงกะทิ และอีกหลายเมนูที่อร่อยเข้มข้น แต่อ้วนสุดๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าอาหารอร่อยง่ายสบายท้อง พร้อมแคลอรี่ต่ำสุดๆ มีอะไรน่าทานบ้าง


1. ก๋วยเตี๋ยวหมูสับน้ำใส 200 กรัม 140 Kcal
   เลือกน้ำใสๆ หมูสับแบบไม่ติดมัน หรือติดมันให้น้อยที่สุด ประโคมผักเยอะๆ ปรุงรสให้น้อยเข้าไว้ และเส้นให้น้อยกว่าผักครึ่งหนึ่ง หรือจะเกาเหลาก็โอเค ให้เต็มที่ไปเลย 200 กรัม ยังไม่ถึง 150 Kcal เลยคิดดู อย่าลืมบอกพี่คนขายว่าไม่ต้องราดกระเทียมเจียวด้วยนะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส

2. แกงส้มผักรวมกับปลา 200 กรัม 100 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 180 Kcal
   ใครที่คิดว่าก๋วยเตี๋ยวยังไม่อยู่ท้อง มาที่ข้าวกับแกงส้มได้เลย คุณพระ! แกงส้มผักรวมสุดแซ่บ กับปลาอร่อยๆ รวมกันยังไม่ถึง 200 Kcal รับรองว่าอิ่ม อร่อย รสชาติจัดจ้านแบบไทยแน่นอน แต่ถ้าจะให้ดี ทำแกงส้มด้วยตัวเองไปเลย จะควบคุมปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไปในแกงได้ดีกว่านะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แกงส้มผักรวมกับปลา

3. แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่หมูสับ 200 กรัม 110 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 190 Kcal
   คนที่ไม่ทานเผ็ด มาเมนูอร่อยง่ายสบายท้องง่ายๆ กับแกงจืดเต้าหู้ไข่หมูสับได้เลย ยิ่งใส่สาหร่ายลงไปด้วยนิดนึงยิ่งอูมามิ แต่ถ้าจะให้เราแนะนำ ไม่ต้องใส่วุ้นเส้นจะดีกว่าค่ะ เพราะถ้าใส่วุ้นเส้นด้วย นอกจากจะอืดเต็มชามแล้ว ยังเพิ่มปริมาณแคลอรี่ให้สูงขึ้นไปอีก เผลอๆ จะเกิน 200 Kcal เอาน่ะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่หมูสับ

4. โจ๊กหมู/ข้าวต้มหมู 200 กรัม 160 Kcal
   โจ๊กหรือข้าวต้ม ไม่จำเป็นต้องทานเป็นมื้อเช้าอย่างเดียวเสมอไป จะทานตอนเย็นก็อร่อยง่ายสบายท้องเช่นกัน แต่ถ้าจะทานเป็นตอนเย็น ลองไม่ใส่ไข่ดูก็จะดีกว่านะคะ เพราะถ้าพิเศษใส่ไข่ด้วย แคลอรี่พุ่งแน่ๆ บวกเพิ่มไปเลยอีก 75 Kcal ถ้าต้มโจ๊กทานเอง จะแอบซอยกะหล่ำปลี ต้นหอมผักชี แครอท บร็อคโคลี่ หรือผักที่ชอบลงไปด้วยก็ได้นะคะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โจ๊กหมู/ข้าวต้มหมู

5. ยำวุ้นเส้นหมูสับ 200 กรัม 120 Kcal
   อาหารยอดนิยมของสาวๆ เพราะยำเป็นอาหารรสจัด แก้เลี่ยน และวุ้นเส้นอมน้ำยำได้ดี แต่อย่าใส่วุ้นเส้นเยอะล่ะ เพราะนอกจากจะอืดเต็มจานง่ายแล้ว วุ้นเส้น 100 กรัม ให้แคลอรี่ 337 Kcal เชียวนะ เพราะฉะนั้นใส่น้อยๆ แค่ 10-30 กรัม หรือราว -30-90 Kcal จะดีกว่าค่ะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยำวุ้นเส้นหมูสับ

6. ไข่ตุ๋น 1 ฟอง 75 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 155 Kcal
   ใครที่ไม่ค่อยอยากทานอะไรที่ย่อยยาก ลองเมนูไข่ตุ๋นดูสิคะ อร่อย และทำง่ายมากๆ แถมยังเหลือปริมาณแคลอรี่ให้เพิ่มท็อปปิ้งลงบนไข่ตุ๋นได้อีกนิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหมูสับ ปูอัด เนื้อปลานิดหน่อย เห็ดหอม หรือจะแปะก๊วยเหมือนอย่างที่เราเห็นในไข่ตุ๋นญี่ปุ่นก็น่าทานนะ
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

7. น้ำพริกผักสด 1 เซ็ตเล็ก 55 Kcal + ไข่ต้มครึ่งฟอง 38 Kcal + ข้าวกล้อง 80 = 173 Kcal
   เต็มเซ็ตกันไปเลยสำหรับมื้อนี้ น้ำพริก ผักสด ไข่ต้ม และข้าว ไม่อิ่มก็ให้มันรู้ไป นอกจากรสแซ่บดั่งใจไทยแท้แล้ว ยังครบ 5 หมู่อีกด้วย สามารถเลือกน้ำพริกได้ตามต้องการ แต่ถ้าให้เราแนะนำก็เลี่ยงน้ำมันที่มันย่องๆ ออกไปหน่อยนะ อย่างน้ำพริกมะขาม น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกอ่อง พวกนี้อาจจะเก็บไว้ทานมื้ออื่นดีกว่า
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

8. ปลานึ่งมะนาว/ปลาเผาตัวเล็ก 155 Kcal
   ใครไม่อยากทานแป้ง ขอให้แวะมาทานเนื้อปลาแทน ได้โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ และรสชาติแซ่บๆ ของมะนาวก็จัดจ้านสดชื่นดีอย่าบอกใคร แต่อย่าเผลอปรุงรสจัดจนเกินไปนะ ระวังจู๊ดๆ ทานกับผักสดก็ดีต่อสุขภาพอย่าบอกใครเลยเชียว
Image result for ปลานึ่งมะนาว
9. ผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ 200 กรัม 155 Kcal
   จริงๆ อาหารประเภทไม่ค่อยอยากแนะนำเท่าไร เพราะอาจเลี่ยงปริมาณน้ำมันที่ใช้ไม่ได้ แต่หากคุณเป็นคนทำอาหารทานเอง ใช้น้ำมันมะกอกผัดแบบเร็วๆ ก็พอได้อยู่นะ ยิ่งได้โปรตีนดีๆ จากถั่วงอกด้วยยิ่งดีใหญ่ ใครยังไม่อิ่มอนุญาตให้ทานข้าวเพิ่มได้ 2 ช้อนโต๊ะพูนๆ โอเคป่ะ?
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผัดถั่วงอกกับเต้าหู้

10. ปอเปี๊ยะสด 1 ชิ้น 175 Kcal
   จะบอกว่าเป็นอาหารไทยก็ไม่เชิง เพราะจริงๆ แล้วต้นตำรับมาจากประเทศเวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้ปอเปี๊ยะได้รับการปรับปรุงสูตรจนมีสารพัดไส้ และน้ำจิ้มให้เลือกมากมาย ถ้าอยากทานแบบสุขภาพดี ก็ลองเปลี่ยนไส้เป็นไส้ผัก ไส้เห็ด ไส้หมูสับ กุ้ง และเปลี่ยนน้ำจิ้มหวานๆ ที่ราดบนปอเปี๊ยะ เป็นน้ำสลัดไขมันต่ำ หรือน้ำสลัดซีฟู้ดเพิ่มความแซ่บได้เหมือนกันค่ะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปอเปี๊ยะสด

ได้ไอเดียดีๆ แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมเตรียมเมนูเด็ดๆ รอไว้ได้เลย แล้วอย่าลืมไปออกกำลังกายด้วยล่ะ จะได้น้ำหนักลดอย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ จำเอาไว้ว่าควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นกุญแจของการมีสุขภาพดีนะคะ

อ้างอิง : https://www.sanook.com/health/4045/



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เคี้ยวกี่ครั้ง สุขภาพถึงจะดี ??

สุขภาพดีเริ่มง่ายๆ ด้วยการเคี้ยว คุณเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่า ใช้เวลาในการเคี้ยวอาหารคำละกี่ครั้ง   คนส่วนใหญ่มักทำไปตามนิสัยส่วนตัว แต่รู้หรือไม่ว่าประโยชน์ของการเคี้ยวให้ละเอียดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพมากเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้  “ อาจารย์แววตา เอกชาวนา ”   นักโภชนาการบำบัด และผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ให้ข้อมูลว่า   การเคี้ยวอาหาร ให้ละเอียดก่อนกลืนนั้นมีความสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นด่านแรกที่จะทำให้อาหารมีความละเอียดขึ้น ทำให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ช่วยให้สารอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น และยังทำให้มีระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพที่ดี  แต่ถ้าหากเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ กระเพาะของเราจะต้องรับภาระในการย่อยอาหารมากขึ้น ยิ่งอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ กระเพาะจะต้องหลั่งกรด และมีการบีบตัวที่มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดหรือท้องเฟ้อตามมา           นักโภชนาการบำบัดผู้นี้ บอกอีกว่า   การเคี้ยวอาหารให้ถูกต้องนั้นคือ เคี้ยวประมาณ 10 ครั้งสำหรับอาหารที่นิ่ม เช่นข้าว หรือ ขนมปัง ขณะเดี

4 สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ลดพุง ลดหน้าท้อง

        ทำไมต้องใช้ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ !      ฟังดูเหลือเชื่อแต่มันคือเรื่องจริงว่าเฉพาะพื้นผิวลำไส้เล็ก ก็มีขนาดถึง 250 ตารางเมตร หรือเท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเลยทีเดียว!!!   แต่เมื่ออยู่ในช่องท้องของเราจะมีรูปทรงหดย่นพับไปพับมา และเต็มไปด้วยซอกมากมาย และซอกตามรอยพับนี่แหละค่ะ ที่เป็นแหล่งสะสมของ “ตะกรันลำไส้” ที่เกิดจากการทานอาหารมันๆ ย่อยยาก รวมถึงอุจจาระเก่าที่ตกค้างจากการขับถ่ายไม่เป็นเวลา อาจดูน่าตกใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันสามารถสะสมอยู่ในลำไส้ของเราได้หลายกิโลกรัมเลยทีเดียวนะคะ ลำไส้ที่มีตะกรันสะสมมากๆ เสี่ยงกับอะไรบ้าง         - เป็นสิว ผิวพรรณไม่สดใส - มีกลินตัว - มีกลิ่นปากแบบไม่ทราบสาเหตุ - ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย - ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด - ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา - มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง หรือท้องเสียบ่อย - มีอาการคล้ายกรดไหลย้อน (ซึ่งเกิดจากแก๊สในลำไส้) - เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ ทำเองง่ายๆ สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ สูตรที่ 1 น้ำมะนาว+น้ำอุ่น      สูตรนี้ง่ายสุดๆ แต่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ห

8 วิธีกิน "บุฟเฟ่ต์" ยังไงไม่ให้ "อ้วน"

1. เลือกเวลาทานบุฟเฟ่ต์    เวลาที่เราอยากทานบุฟเฟ่ต์ จะเลือกช่วงเวลาประมาณ บ่าย 2 - บ่าย 3 โมงเย็นค่ะ ถ้ารู้ตัวว่าจะมาทานบุฟเฟ่ต์ ก็จะไม่ทานมื้อกลางวัน และจะเริ่มทานบุฟเฟ่ช่วงเวลาประมาณบ่าย 2-3 โมง กว่าจะกินอิ่มก็ 4 โมงเย็นหรือ 5 โมงเย็น จะได้งดมื้อเย็นไปในตัวค่ะ เท่ากับว่ากิน 2 มื้อรวมกันคือมื้อกลางวันกับมื้อเย็น นั่นแปลว่าถ้าเราตัดสินใจจะทานบุฟเฟ่ต์ เราก็ต้องตัดใจไม่ทานอาหารมื้ออื่นๆ แล้วค่ะ 2. อย่ายัด    บุฟเฟ่ต์หลายร้านมักจะมีเวลากำหนด อาจจะ 1.30 ชั่วโมง หรือ 2.00 ชั่วโมง แล้วแต่ร้าน หลายคนกลัวไม่คุ้ม จึงรีบกิน เน้นกินเยอะ ฟาดเรียบทุกอย่าง แถมยังสั่งนู้นนี่นั่นมาเยอะเกินกำลังที่ตัวเองจะกินไหว ผลสุดท้าย ต้องมานั่งยัดอาหารที่เหลือ เพราะถ้ากินไม่หมดก็กลัวจะโดนปรับ - _- อยากบอกว่า ให้ค่อยๆ สั่งค่ะ สั่งทีละนิด แต่สั่งอาหารให้หลากหลาย อันไหนอร่อยค่อยสั่งเพิ่ม ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว อย่ารีบกินเพื่อแข่งกับเวลา เพราะถ้าทำแบบนั้นจะกลายเป็นว่าเรากินทุกอย่างที่ขวางหน้า แบบนี้ความพยายามที่จะลดความอ้วนมา 2 เดือนเต็มนั้นสูญเปล่าแน่ๆ 3. เลือกกินแต่โปรตีนและผัก    บุฟเ